พักนี้ มีลูกค้าที่สนใจสินค้า และถามถึงวันผลิตสินค้าเข้ามาค่อนข้างเยอะมาก ขอรวบรวมข้อมูลให้ตรงนี้เลยนะคะ
Shelf life อายุของสินค้า
1. ผลิตภัณฑ์ประเภทครีมบำรุงหรือเครื่องสำอางค์จะมี shelf life อยู่ที่ 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับประเภทและยี่ห้อของผลิตภัณฑ์ ลูกค้าสามารถเช็ควันผลิต-วันหมดอายุของผลิตภัณฑ์ได้ที่นี่
2. แต่ถ้าหากผลิตภัณฑ์ถูกเปิดใช้แล้ว จะมีอายุการใช้งาน 6 เดือน - 2 ปีนะคะ เนื่องจากจะมีการสัมผัสกับอากาศ ซึ่งในอากาศมีแบคทีเรีย ซึ่งจะทำปฏิกิริยากับผลิตภัณฑ์ทำให้ผลิตภัณฑ์มีคุณสมบัติเปลี่ยนไป ให้ดูสัญลักษณ์ที่เป็นรูปกระปุก และมีตัวหนังสือ 6M หรือ 3M หรือ 12M หรือ 24M ตัวเลขหมายถึงอายุสินค้า (หน่วยเป็นเดือน) หลังจากเปิดใช้แล้ว
จากข้อ 1 และ ข้อ 2 ระยะเวลาของข้อไหนถึงก่อน วันหมดอายุยึดตามข้อนั้นนะคะ
่สมมติ ซื้อครีมยี่ห้อคลาแรงส์มา 1 กระปุก วันผลิตระบุ 02/2015 เปิดใช้ครั้งแรก 03/2017 สัญลักษณ์ที่ด้านหลังกระปุกคือ 12M เพราะฉะนั้นครีมกระปุกนี้ควรใช้ให้หมดภายใน 03/2018 (ครีมยี่ห้อ Clarins มี Shelf Life อยู่ที่ 5 ปี)
แต่ถ้าเป็นครีมยี่ห้ออื่นที่มี Shelf Life 3 ปี ก็ควรใช้ให้หมดภายใน 02/2018 ค่ะ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อายุของสินค้า ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งสภาพแวดล้อมในการเก็บรักษาสินค้า ความร้อน อากาศ ความชื้น จึงให้ลูกค้าสังเกตจากรูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์เป็นหลักนะคะ หากเกิดการเปลี่ยนแปลงจากปกติ นั่นแหละค่ะ เรียกว่าหมดอายุ
อยากพูดถึงเรื่อง Life Cycle ให้ลูกค้าได้รับทราบข้อเท็จจริง
Life cycle ของสินค้า นับตั้งแต่วันผลิต จนถึงวันที่สินค้าถูกซื้อไป เป็นประมาณนี้นะคะ
1. เมื่อสินค้าถูกผลิตเสร็จเรียบร้อย สินค้าจะถูกเก็บอยู่ในโกดังของโรงงานผลิต ประมาณ 1-2 เดือน เพื่อรอวันชิปไปยังประเทศต่างๆ เพื่อจำหน่าย
2. เมื่อสินค้ามาถึงประเทศไทยแล้ว กว่าจะผ่านศุลกากรและถูกเก็บอยู่ในโกดังของตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย เพื่อรอเวลาส่งไปตามเคาน์เตอร์ๆ ใช้เวลาประมาณ 1-4 เดือน ขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้าที่ขายดีมาก ขายดีน้อย
3. เมื่อสินค้าถูกส่งมาที่เคาน์เตอร์จะถูกเก็บไว้ในห้องเก็บสินค้าของห้าง ประมาณ 1-3 เดือนหรือมากกว่านั้นขึ้นกับประเภท/ชนิดสินค้า เพื่อรอลูกค้ามาซื้อ
4. การวางแผนการเก็บสต๊อกสินค้า จะต้องมีสต๊อกที่ปลอดภัย เผื่อในกรณีที่มีการจัดโปรโมชันของห้าง ซึ่งจะไม่ทำให้สต๊อกขาด อยู่ที่ประมาณ 2-3 เดือน ซึ่งอาจจะทำให้ระยะเวลาในการถูกเก็บอยู่ในโกดัง นานขึ้นไปอีก ในช่วงเวลาที่ขายไม่ดี
5. สินค้าที่อยู่ในสต๊อกมานาน (คุณภาพยังดีอยู่) และเหลือในปริมาณมาก ทางมาร์เก็ตติ้งเค้่าจะนำมาจัดโปรโมชัน หรือนำมาเป็นของสมนาคุณให้กับลูกค้า และทางร้านก็นำมาขายราคาพิเศษ ตามที่แจ้งไปด้านบนนะคะ
สรุป: จึงอาจเป็นไปได้ยากที่ลูกค้าจะมองหาสินค้าเคาน์เตอร์แบรนด์ที่เพิ่งผลิตมาไม่เกิน 6 เดือน เนื่องจากสินค้าผลิตจากเมืองนอกและมีกระบวนการขนส่งของมัน ยกเว้น สินค้าที่ขายดีมากๆๆหรือสินค้าราคาพรีเมี่ยม (SISLEY/DIOR/CHANEL/LA PRAIRIE เป็นต้น) อาจจะพบเห็นได้อยู่
คณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย.ชี้แจงสาเหตุที่ฉลากเครื่องสำอางไม่ระบุวันหมดอายุว่า “โดยทั่วไปอายุของเครื่องสำอางจะยาวนานแค่ไหนขึ้นอยู่กับส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ การบรรจุ วัตถุกันเสีย และวิธีการเก็บรักษาเครื่องสำอาง สาเหตุที่กฎหมายไม่กำหนดให้ฉลากเครื่องสำอางแสดงวันหมดอายุให้ผู้บริโภคทราบ ก็เนื่องจากอายุของเครื่องสำอางสามารถผันแปรได้ง่ายตามวิธีการเก็บรักษา หากเก็บรักษาเครื่องสำอางในสถานที่ที่ไม่เหมาะสม ได้แก่ การเก็บอยู่ในที่ที่มีอุณหภูมิสูง ถูกแสงแดด ความร้อน จะทำให้วัตถุกันเสีย และสารที่เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอางเสื่อมสภาพเร็ว และอาจจะทำให้เครื่องสำอางนั้นหมดอายุก่อนวันหมดอายุจริงก็ได้ หรืออีกนัยหนึ่ง หากถูกเก็บอยู่ภายใต้สภาวะที่เหมาะสมอาจจะคงคุณภาพได้ยาวนานกว่าวันหมดอายุ ดังนั้น จึงเป็นไปได้ยากที่จะให้ผู้ผลิตกำหนดวันหมดอายุที่แน่นอนแสดงบนฉลาก สำหรับวิธีตรวจสอบเบื้องต้นว่าเครื่องสำอางหมดอายุหรือไม่ สามารถตรวจสอบจากสีและกลิ่นของเครื่องสำอางได้ หากเครื่องสำอางเกิดการเปลี่ยนสภาพ เปลี่ยนสี หรือเปลี่ยนกลิ่น ให้ทิ้งทันที เนื่องจากเครื่องสำอางนั้นเสื่อมสภาพแล้ว” (ข้อมูลจากบริการสายด่วน อย.1556)
ดังนั้น ผู้บริโภคจึงต้องรู้จักสังเกตด้วยตัวเองว่าเครื่องสำอางที่ใช้อยู่นั้นหมดอายุหรือยัง โดยมีหลักคร่าวๆ ให้พิจารณาดังนี้
- มาสคารา หมดอายุภายใน 3 เดือน หลังจากเปิดใช้ สาเหตุที่มาสคาร่ามีอายุการใช้งานสั้น เนื่องจากด้ามแปรงที่ปัดขนตาเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรีย เพราะต้องจุ่มเข้า-ออก ทำให้สัมผัสกับอากาศบ่อยครั้ง ดังนั้นไม่ควรปั๊มมาสคาร่า ให้ใช้วิธีขยับแปรงกระทบด้ามเบาๆ ก็พอแล้ว
- รองพื้น หากเป็นแบบผสมน้ำ จะหมดอายุภายใน 1 ปีหลังจากเปิดใช้ หากเป็นแบบผสมน้ำมันจะหมดอายุภายใน 1 ปีครึ่งหลังจากเปิดใช้ สามารถยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้นโดยปิดฝาให้สนิทแล้วเก็บไว้ในตู้เย็น และใช้แปรงหรือฟองน้ำแทนการสัมผัสรองพื้นโดยตรง
- แป้งฝุ่นทาหน้าหรือบลัชออนทาแก้ม หมดอายุภายใน 2 ปีหลังจากเปิดใช้ ควรยืดอายุการใช้งานด้วยการใช้แปรงแทนการใช้มือสัมผัสโดยตรง
- อายแชโดว์ หมดอายุภายใน 2 ปีหลังจากเปิดใช้ครั้งแรก
- อายไลเนอร์ หรือดินสอเขียนขอบตา หากเหลาเป็นประจำ จะหมดอายุภายใน 2 ปีหลังจากเริ่มใช้ แต่ถ้าหากเป็นอายไลเนอร์ชนิดน้ำจะมีอายุเพียงแค่ 3-6 เดือนหลังจากเปิดใช้
- ลิปสติก หมดอายุภายใน 2 ปีหลังจากเปิดใช้ครั้งแรก แต่ลิปกลอสมีอายุการใช้งานเพียง 1 ปีเท่านั้น โดยเฉพาะแบบจิ้มจุ่ม สามารถยืดอายุการใช้งานของลิปสติกให้นานขึ้นโดยปิดฝาให้สนิทแล้วเก็บไว้ในตู้เย็น และควรใช้คู่กับพู่กันทาปากจะดีกว่าการทาลงบนริมฝีปากโดยตรง เพราะจะทำให้เนื้อลิปสติกปลอดจากการปนเปื้อนของแบคทีเรีย
- ลิปไลเนอร์ หรือดินสอเขียนขอบปาก หมดอายุภายใน 2 ปีหลังจากเปิดใช้ครั้งแรก
- ดินสอเขียนคิ้ว หมดอายุภายใน 2 ปีหลังจากเปิดใช้ครั้งแรก
- ยาทาเล็บ ปกติจะหมดอายุภายใน 1 ปีหลังเปิดใช้ ระหว่างนั้นหากไม่ค่อยได้ใช้ ควรเขย่าขวดบ่อยๆ จะช่วยไม่ให้น้ำยาทาเล็บเกาะตัวกัน หากเก็บไว้จนแข็งให้ใช้น้ำยาล้างเล็บผสมลงไปแล้วเขย่าให้สีละลาย จะช่วยยืดอายุการใช้งานได้
- น้ำหอม หากยังไม่ได้เปิดใช้และเก็บให้ห่างจากแสงสว่างและความร้อน จะหมดอายุภายใน 3 ปี แต่หากเริ่มเปิดใช้ จะหมดอายุภายใน 1 ปีครึ่ง แต่ถ้าเริ่มมีกลิ่นผิดปกติหรือมีกลิ่นฉุน มีสีคล้ำลงหรือเปลี่ยนสี หรือมีลักษณะข้นเหนียว แสดงว่าน้ำหอมนั้นหมดอายุแล้ว
- ครีมหรือโลชั่นบำรุงผิว หมดอายุภายใน 1 ปีหลังจากเปิดใช้ครั้งแรก หรือสังเกตสัญลักษณ์คล้ายรูปกระป๋องเปิดฝาที่ข้างขวด เช่น มีตัวเลข 12M อยู่ในกระป๋อง หมายความว่าหลังจากเปิดใช้จะมีอายุการใช้งาน 12 เดือน
ทั้งหมดนั้นเป็นวิธีการประเมินในเบื้องต้น อย่างไรก็ตาม ต้องพิจารณาวันที่ผลิตประกอบด้วย เพราะเราไม่รู้ว่าเครื่องสำอางนั้นวางอยู่บนชั้นวางสินค้ามานานแค่ไหนก่อนที่เราจะไปซื้อ ต้องคำนวณระยะเวลาการใช้งานหลังจากเปิดใช้ประกอบกับดูวันที่ผลิตหรือวันหมดอายุด้วย
นอกจากนี้ เครื่องสำอางอาจมีอายุการใช้งานนานหรือสั้นกว่านี้ ขึ้นอยู่กับการใช้งานและการเก็บรักษา ดังนั้นทางที่ดีจึงควรหมั่นสังเกตเครื่องสำอางอยู่เสมอ ตามหลักการง่ายๆ ดังนี้
- การดมกลิ่นเป็นวิธีที่ง่ายและใช้ได้ผลมากที่สุด เมื่อซื้อเครื่องสำอางมาใหม่ๆ ให้ลองดมกลิ่นดูแล้วจำไว้ หลังจากนั้น ก่อนจะใช้ทุกครั้งก็ให้ดมกลิ่นดูก่อนเพื่อเปรียบเทียบกันว่ากลิ่นเปลี่ยนไปหรือยัง เพราะเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เมื่อหมดอายุแล้วมักจะมีกลิ่นหืน
- สังเกตสีของเครื่องสำอางว่าเปลี่ยนไปหรือไม่ หรือมีเชื้อราขึ้นหรือไม่
- ถ้ามีการแยกชั้นของเนื้อครีม และน้ำมันในผลิตภัณฑ์ หรือลิปสติกที่มีเม็ดเหงื่อหรือหยดน้ำเกาะ ก็ไม่ควรนำมาใช้อีก เพราะเม็ดเหงื่อที่เห็นก็คือไขมันที่แยกตัวออกมาจากเนื้อครีมนั่นเอง
- หากไม่แน่ใจจริงๆ ว่าหมดอายุแล้วหรือยัง ให้ทดลองทาที่ใต้ท้องแขนแล้วทิ้งไว้สัก 30 นาทีก่อนนำไปใช้ เพื่อดูว่าแพ้หรือไม่ แต่หากไม่อยากเสี่ยงก็ทิ้งไปไม่ต้องเสียดาย
วิธีการดูแลรักษาเครื่องสำอาง
- เก็บเครื่องสำอางไว้ในที่สะอาด แห้ง และเย็น หลีกเลี่ยงที่ร้อน ชื้น และแสงแดดส่องถึง
- การเก็บเครื่องสำอางไว้ในตู้เย็นไม่ดีเสมอไป เพราะความชื้นในตู้เย็นจะทำให้เครื่องสำอางที่มีเนื้อเป็นแป้งเสียคุณสมบัติได้
- ควรปิดฝาบรรจุภัณฑ์ให้เรียบร้อยทันทีที่ใช้เสร็จ เพื่อป้องกันฝุ่นและเชื้อโรคที่อาจเข้าไปปนเปื้อน
- อุปกรณ์แต่งหน้า เช่น พัฟฟ์ และแปรง ก็ควรหมั่นล้างทำความสะอาดสักเดือนละครั้งด้วยน้ำสบู่อุ่นๆหรือเปลี่ยนใหม่อยู่เสมอ เพราะเป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรียได้เช่นกัน
- ไม่ควรใช้เครื่องสำอางและอุปกรณ์แต่งหน้าร่วมกับคนอื่น เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อโรคถึงกัน
ที่มา http://www.manager.co.th/qol/ViewNews.aspx?NewsID=9540000055919
หน้าที่เข้าชม | 1,485,069 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 765,138 ครั้ง |
เปิดร้าน | 22 ต.ค. 2556 |
ร้านค้าอัพเดท | 5 ก.ย. 2568 |